การรักษาโรคเบาหวาน ค้นหาสาเหตุและวิธีแก้ไขได้ที่นี่
ความหวานคือรสชาติที่หลายคนชื่นชอบ แต่ก็อาจซ่อนอันตรายที่เราไม่ทันคาดคิด ด้วยโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นตามมา
หลายคนเข้าใจว่าอาหารหวานเป็นต้นเหตุหลักของการเพิ่มน้ำหนัก ซึ่งก็มีส่วนถูกต้อง เพราะอาหารหวานมักให้พลังงานที่สูงเกินไป แต่ที่ควรระวังจริง ๆ คือ "โรคเบาหวาน"
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ วิธีการป้องกัน การดูแลตัวเอง และการรักษาโรคเบาหวานอย่างถูกวิธี
โรคเบาหวาน คืออะไร?
โรคเบาหวานคือภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเกิดจากการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อนที่น้อยเกินไป หรือเกิดจากการดื้อต่ออินซูลินที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน
การตรวจสอบการเป็นโรคเบาหวานสามารถทำได้โดยการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังจากงดอาหาร 8 ชั่วโมง หากพบว่าอยู่ที่ 126 มก.ต่อเดซิลิตรขึ้นไป หรือค่าน้ำตาลสะสมสูงกว่า 6.5% ก็สามารถวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานได้
สังเกตตัวเองว่าเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานหรือไม่
โรคเบาหวานเป็นโรคที่ไม่แสดงอาการชัดเจนในช่วงแรก ซึ่งทำให้หลายคนไม่รู้ตัวจนกว่าอาการจะรุนแรงขึ้น ดังนั้น การสังเกตอาการต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น
ผู้ที่มีภาวะเบาหวานมักจะปัสสาวะบ่อยมากขึ้น เพราะน้ำตาลในเลือดสูงจะถูกขับออกมาผ่านทางปัสสาวะ โดยเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้การปัสสาวะบ่อยขึ้น
-
กระหายน้ำมากผิดปกติ
อาการกระหายน้ำเกิดจากการที่ร่างกายสูญเสียน้ำไปจากการที่ปัสสาวะบ่อยเกินไป ทำให้ร่างกายต้องการน้ำมากขึ้นเพื่อชดเชยการขาดน้ำ จึงรู้สึกกระหายน้ำมากกว่าปกติ -
น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
เมื่อร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลในเลือดได้จากการขาดอินซูลิน จึงเริ่มดึงโปรตีนและไขมันในร่างกายมาใช้แทนพลังงาน ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีน้ำหนักลดลงอย่างเห็นได้ชัด -
มองเห็นไม่ชัดเจน
ในช่วงที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูง เลนส์ตาอาจเกิดการบวม ทำให้การโฟกัสภาพไม่ชัดเจน ซึ่งจะเกิดขึ้นชั่วคราวและเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดกลับมาเป็นปกติ การมองเห็นก็จะกลับมาชัดเจนเหมือนเดิม -
มือเท้าชาและรู้สึกไม่สบาย
อาการชาเริ่มจากปลายนิ้วมือและนิ้วเท้า เนื่องจากภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานที่ทำให้ระบบประสาทได้รับผลกระทบ อาการอาจค่อย ๆ ลามขึ้นไปที่แขนและขา และบางครั้งยังรู้สึกเจ็บปวดร่วมกับอาการชาอีกด้วย
7 แนวทางการดูแลรักษาสุขภาพเพื่อป้องกันโรคเบาหวาน
สาเหตุของโรคเบาหวานส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมและการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่เหมาะสม แล้วเราจะสามารถปรับพฤติกรรมเพื่อห่างไกลจากโรคเบาหวานได้อย่างไรบ้าง?
-
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน
การดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคเบาหวานเริ่มจากการควบคุมพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยการลดปริมาณอาหารหวานและอาหารที่มีแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น น้ำอัดลม ขนมหวาน หรือเบเกอรี่ต่าง ๆ -
รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง
นอกจากการลดอาหารหวานและมันแล้ว ควรเพิ่มการบริโภคผักใบเขียวและผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง เพื่อช่วยในการย่อยอาหารและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด -
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายมีส่วนสำคัญในการป้องกันโรคเบาหวาน ควรออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น การเดินเร็ว ปั่นจักรยาน หรือการเต้นแอโรบิกประมาณ 30 นาทีต่อครั้ง 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ -
ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
หมั่นตรวจสอบน้ำหนักตัวเพื่อให้มั่นใจว่าไม่ลดหรือเพิ่มอย่างผิดปกติ ควรพยายามรักษาน้ำหนักให้เหมาะสม ไม่อ้วนเกินไปหรือผอมเกินไป -
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
ลด ละ หรือจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากแอลกอฮอล์สามารถมีผลต่อการรักษาโรคเบาหวานและเพิ่มความเสี่ยงโรคอื่น ๆ -
งดสูบบุหรี่
ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรงดสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด เพราะการสูบบุหรี่สามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงการทำให้โรคเบาหวานลุกลามได้เร็วขึ้น -
ตรวจสุขภาพประจำปี
การตรวจสุขภาพเป็นประจำช่วยให้คุณสามารถตรวจพบปัญหาหรือความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน
7. การใช้ยาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
หลังจากปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและอาหารแล้ว หากยังไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ตามปกติ การใช้ยาลดน้ำตาลในเลือดอาจเป็นทางเลือกที่จำเป็น โดยยาที่ใช้มีทั้งยากินและยาฉีด ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระดับน้ำตาลในเลือด และอาการอื่น ๆ ซึ่งแพทย์จะพิจารณาใช้ตามความเหมาะสม
สรุป
โรคเบาหวานเป็นโรคที่เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง ซึ่งแม้บางคนจะไม่มีอาการชัดเจน แต่สัญญาณเตือนที่สามารถพบได้ในระยะเริ่มต้น เช่น การปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำตลอดเวลา น้ำหนักลดลง หรือการมองเห็นมัว อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคเบาหวาน
การดูแลเบื้องต้นสามารถทำได้โดยการปรับพฤติกรรมการกิน เช่น ลดการบริโภคหวาน แป้ง และเพิ่มผักผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง รวมถึงการควบคุมน้ำหนักและหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ หากปรับพฤติกรรมแล้วแต่ยังไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ก็สามารถพิจารณาใช้ยารักษาเพิ่มเติมตามคำแนะนำของแพทย์
ประโยชน์ของการตรวจเบาหวานที่บ้าน
การตรวจเบาหวานที่บ้านเป็นวิธีที่สะดวกและง่ายในการติดตามระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลหรือคลินิกบ่อยครั้ง ซึ่งมีประโยชน์หลายด้าน ดังนี้:
-
การติดตามระดับน้ำตาลอย่างใกล้ชิด
การตรวจที่บ้านช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดได้บ่อยขึ้น ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถรู้สถานะของระดับน้ำตาลในเลือดในแต่ละวัน และทำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินหรือการใช้ยาได้ทันทีหากพบว่ามีระดับน้ำตาลผิดปกติ -
เพิ่มความสะดวกและประหยัดเวลา
การตรวจที่บ้านไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปโรงพยาบาลหรือคลินิก ซึ่งทำให้คุณสามารถตรวจสอบสถานะสุขภาพได้สะดวกและรวดเร็ว -
ควบคุมโรคเบาหวานได้ดีขึ้น
การรู้ระดับน้ำตาลในเลือดทันทีช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนอาหาร หรือวิธีการรักษาต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น หากพบว่ามีอาการหรือระดับน้ำตาลสูงผิดปกติ -
ลดความเครียดในการตรวจสุขภาพ
หลายคนอาจรู้สึกวิตกกังวลหรือเครียดเมื่อไปพบแพทย์ แต่การตรวจที่บ้านจะช่วยลดความกังวลนี้ เพราะสามารถตรวจได้ในบรรยากาศที่สบาย ๆ และส่วนตัว -
ความเป็นส่วนตัว
การตรวจเบาหวานที่บ้านช่วยให้คุณรักษาความเป็นส่วนตัวและไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลสุขภาพกับบุคคลอื่น -
ช่วยปรับปรุงพฤติกรรมสุขภาพ
การตรวจที่บ้านช่วยให้คุณรู้สึกมีความรับผิดชอบต่อสุขภาพมากขึ้นและทำให้คุณใส่ใจในการรักษาอาหาร การออกกำลังกาย และการใช้ยาอย่างมีระเบียบ -
สามารถใช้เครื่องมือที่ง่ายและสะดวก
เครื่องมือสำหรับตรวจระดับน้ำตาลในเลือดที่ใช้ที่บ้านมักมีขนาดเล็กและใช้งานง่าย ทำให้ทุกคนสามารถทำการตรวจได้โดยไม่ยุ่งยาก
การตรวจเบาหวานที่บ้านจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถดูแลสุขภาพของตัวเองได้ดีขึ้น และสามารถรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่มากขึ้น
คำแนะนำจากแพทย์ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
เพื่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างมีประสิทธิภาพ การปรับพฤติกรรมการกินและการตรวจระดับน้ำตาลที่บ้านเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งแพทย์ขอแนะนำดังนี้:
1. การควบคุมอาหาร
- ลดอาหารที่มีน้ำตาลสูง: หลีกเลี่ยงขนมหวาน เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม น้ำหวานต่าง ๆ เพราะอาหารเหล่านี้สามารถเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างรวดเร็ว
- ลดการบริโภคคาร์โบไฮเดรตที่มีการย่อยเร็ว: เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว พาสต้า ควรเลือกกินคาร์โบไฮเดรตที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลเกรน เพื่อช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล
- ทานอาหารที่มีเส้นใยสูง: ผักใบเขียว ผลไม้ที่ไม่หวานจัด เช่น ส้ม แอปเปิ้ล ฝรั่ง รวมถึงพืชตระกูลถั่ว เพราะเส้นใยช่วยควบคุมการดูดซึมน้ำตาลและลดการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือด
- เลือกไขมันที่ดี: ใช้ไขมันไม่อิ่มตัวจากแหล่งอาหารที่ดี เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่วและเมล็ดพืช เพื่อลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและช่วยควบคุมระดับน้ำตาล
- ทานอาหารมื้อเล็ก ๆ หลายมื้อ: แทนการทานมื้อใหญ่เพียงมื้อเดียว ควรแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ 5-6 มื้อในแต่ละวัน เพื่อช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่และไม่พุ่งสูงเกินไป
2. การตรวจระดับน้ำตาลที่บ้าน
- ใช้เครื่องตรวจน้ำตาลที่สะดวกและง่าย: เลือกใช้เครื่องตรวจน้ำตาลในเลือดที่ใช้งานง่าย และมั่นใจว่าได้ทำการอ่านคู่มือการใช้อย่างถูกต้อง เพื่อให้ผลตรวจมีความแม่นยำ
- ตรวจน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ: ควรตรวจน้ำตาลในเลือดหลังการตื่นนอน ก่อนมื้ออาหาร และหลังมื้ออาหาร เพื่อดูว่าระดับน้ำตาลในเลือดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร โดยสามารถทำได้ทุกวันหรือหลายครั้งในสัปดาห์ตามคำแนะนำของแพทย์
- บันทึกผลการตรวจ: ควรจดบันทึกผลการตรวจในแต่ละวัน เพื่อนำไปพิจารณาร่วมกับแพทย์ในการปรับเปลี่ยนการรักษาหรือแผนการกินอาหาร
- ติดตามผลเพื่อปรับพฤติกรรม: หากพบว่าระดับน้ำตาลสูงหรือไม่คงที่ ให้รีบปรับพฤติกรรมการกินและหาวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสม รวมถึงหมั่นติดตามผลทุกสัปดาห์
การตรวจระดับน้ำตาลที่บ้านและการควบคุมอาหารอย่างถูกวิธีเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคเบาหวานและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อย่าลืมปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของคุณ
ข้อมูลสินค้า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น